วิทยาลัยนานาชาตินวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
13 พฤศจิกายน 2568
ปัญหาทางธุรกิจ (Business Problem) หมายถึงสถานการณ์หรืออุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้ธุรกิจสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้
ตัวอย่างของปัญหาทางธุรกิจ (Examples include):
กำไรลดลง
ยอดขายตกต่ำ
สูญเสียลูกค้า
ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น
การดำเนินงานไม่มีประสิทธิภาพ
หากไม่รีบแก้ไข ปัญหาเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อ ความสามารถในการแข่งขัน หรือแม้กระทั่ง ความอยู่รอดในระยะยาวขององค์กร
ธุรกิจมีข้อมูลจำนวนมาก แต่ขาดการวิเคราะห์เชิงลึกที่นำไปสู่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
ช่วยให้เกิดการตัดสินใจโดยอิงข้อมูลจริง (Data-Driven Decision-Making)
ช่วย ลดต้นทุน, เพิ่มประสิทธิภาพ, และ คาดการณ์แนวโน้มในอนาคต
แนวทางนี้มุ่งเน้นการใช้ข้อมูลที่มีอยู่เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์โดยอิงจาก หลักฐาน (Evidence) แทนการพึ่งพาเพียงแค่ สัญชาตญาณ (Intuition) หรือ ประสบการณ์ส่วนตัว (Experience) เท่านั้น
กำหนดปัญหาอย่างชัดเจน (Clearly Define the Problem)
ปัญหาที่ดีควรมีความชัดเจน วัดผลได้ และมีกรอบเวลาแน่นอน
ควรตั้งคำถามในลักษณะที่สามารถตอบได้ด้วยข้อมูล (Data-Answerable Question)
| เทคนิค (Technique) | การใช้งาน (Use Case) | ตัวอย่าง (Example) |
|---|---|---|
| Descriptive Analytics | อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น | “ยอดขายลดลงในวันธรรมดา” |
| Diagnostic Analytics | ระบุสาเหตุของปัญหา | “ลูกค้าอายุ 20–30 ปีหยุดซื้อสินค้า” |
| Predictive Analytics | คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น | “ยอดขายอาจลดลงอีกในไตรมาสหน้า” |
| Prescriptive Analytics | แนะนำแนวทางการดำเนินการ | “ปรับราคา หรือเปิดแคมเปญส่งเสริมการขายใหม่” |
สื่อสารผลลัพธ์อย่างชัดเจน (Communicate Results Clearly)
ตัดสินใจและติดตามผลลัพธ์ (Make Decisions and Monitor Outcomes)
Real-World Data Use Case
ปัญหา: ลูกค้าไม่กลับมาซื้อซ้ำ (Customers Are Not Returning)
ข้อมูลที่ใช้ (Data Used):
แนวทางการแก้ปัญหา (Solution Approaches):
ภาคเอกชน (Private Sector)
ภาครัฐ / ภาคสาธารณะ (Government / Public Sector)
ระดับบุคคล (Individual Level)
| ปัญหาทางธุรกิจ (Business Problem) | ปัญหาทางข้อมูล (Data Problem) | เทคนิคที่ใช้ (Technique Used) |
|---|---|---|
| ลูกค้าลาออก | ทำนายการเลิกใช้บริการของลูกค้า | การจำแนกประเภท (Classification) |
| ยอดขายสินค้าต่ำ | พยากรณ์ยอดขาย (Forecast Sales) | การพยากรณ์อนุกรมเวลา (Time Series Forecasting) |
| โปรโมชั่นไม่มีประสิทธิภาพ | แบ่งกลุ่มลูกค้า (Segment Customers) | การจัดกลุ่ม (Clustering) |
| การฉ้อโกง (Fraud Detection) | ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ (Identify Abnormal Behavior) | การตรวจจับความผิดปกติ (Anomaly Detection) |
ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment: ROI)
อัตราการหมุนเวียนสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover Rate)
อัตราการคลิกผ่านโฆษณา (Click-Through Rate: CTR)
มูลค่ารวมทั้งหมดที่ลูกค้าหนึ่งรายคาดว่าจะสร้างให้กับธุรกิจ ตลอดระยะเวลาความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับองค์กร
Formula:
\[ \begin{aligned} \text{CLV} = &\text{Average Purchase Value} \times \text{Purchase Frequency} \times\\& \text{Customer Lifespan} \end{aligned} \]
ตัวอย่าง (Example):
\[ \text{CLV} = 500 \times 12 \times 3 = 18{,}000 \text{ THB} \]
เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าปัจจุบันที่ยังคงใช้บริการของธุรกิจ ภายในช่วงระยะเวลาที่กำหนด
Formula:
\[ \text{Retention Rate} = \left( \frac{E - N}{S} \right) \times 100 \]
ตัวอย่าง (Example):
\[ \text{Retention Rate} = \left( \frac{1{,}200 - 400}{1{,}000} \right) \times 100 = 80\% \]
เป็นตัวชี้วัดผลตอบแทนจากการลงทุน เพื่อประเมินประสิทธิภาพ หรือความสามารถในการทำกำไรของการลงทุนแต่ละโครงการ
Formula:
\[ \text{ROI} = \left( \frac{\text{Net Profit}}{\text{Investment Cost}} \right) \times 100 \]
ตัวอย่าง (Example):
\[ \text{ROI} = \left( \frac{30{,}000}{100{,}000} \right) \times 100 = 30\% \]
ใช้วัดความเร็วในการขายและเติมสินค้าในคลังสินค้า อัตราที่สูงบ่งชี้ว่า สินค้าขายออกเร็วและมีระยะเวลาคงคังสั้นลง
Formula:
\[ \text{Inventory Turnover} = \frac{\text{Cost of Goods Sold (COGS)}}{\text{Average Inventory}} \]
ตัวอย่าง (Example):
\[ \text{Inventory Turnover} = \frac{1{,}000{,}000}{250{,}000} = 4 \text{ cycles/year} \]
ใช้วัดเปอร์เซ็นต์ของผู้ชมที่ คลิก บนโฆษณาหรือบนลิงก์ เพื่อแสดงถึงระดับความสนใจหรือการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน
Formula:
\[ \text{CTR} = \left( \frac{\text{Number of Clicks}}{\text{Number of Impressions}} \right) \times 100 \]
ตัวอย่าง (Example):
\[ \text{CTR} = \left( \frac{300}{10{,}000} \right) \times 100 = 3\% \]
| ประเภทของโมเดล | ตัวอย่างโมเดล | เมื่อควรใช้ |
|---|---|---|
| การจำแนกประเภท (Classification) | Logistic Regression, Random Forest | ใช้เมื่อผลลัพธ์อยู่ในรูปแบบของ “หมวดหมู่” หรือ “คลาส” |
| การถดถอย (Regression) | Linear Regression, XGBoost | ใช้เมื่อต้องการพยากรณ์ค่าตัวเลขเชิงปริมาณ |
| การจัดกลุ่ม (Clustering) | K-Means, DBSCAN | ใช้เพื่อค้นหากลุ่มหรือรูปแบบที่ซ่อนอยู่ในข้อมูล |
| ระบบแนะนำ (Recommendation) | Collaborative Filtering | ใช้เพื่อแนะนำสินค้า/บริการให้เหมาะกับผู้ใช้ |
| อนุกรมเวลา (Time Series) | ARIMA, Prophet | ใช้เพื่อพยากรณ์แนวโน้มในอนาคตตามลำดับเวลา |
การพยากรณ์ยอดขาย (Sales Forecasting)
ปัญหาทางธุรกิจ (Business Problem):
ต้องการพยากรณ์ยอดขายรายวันของแต่ละสาขา เพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
โมเดลที่นิยมใช้ (Models Commonly Used)
กระบวนการทำงาน (Workflow)
การเก็บรวบรวมข้อมูล (Collect Data):
เช่น ยอดขายรายวัน, โปรโมชั่น, วันหยุด, อุณหภูมิ เป็นต้น
การสร้างคุณลักษณะใหม่ (Feature Engineering):
สร้างตัวแปรใหม่ เช่น ยอดขายย้อนหลัง (lag sales), ตัวแปรจำลองวันหยุด (holiday dummy variables)
การเลือกและฝึกโมเดล (Model Selection & Training):
เลือกและฝึกโมเดลโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง
การประเมินผลโมเดล (Model Evaluation):
ใช้ตัวชี้วัดเช่น MAE, RMSE เพื่อประเมินความแม่นยำ
การนำไปใช้งานจริง (Deployment):
นำโมเดลไปใช้ในการพยากรณ์ยอดขายในอนาคต
การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Feedback Loop):
อัปเดตและปรับปรุงโมเดลอย่างต่อเนื่องตามผลการใช้งานจริง
ปัญหา (Problem): ผู้ใช้ไม่รู้ว่าจะดูอะไรต่อ → เสี่ยงต่อการเลิกใช้งาน (Churn Risk)
กระบวนการทำงาน (Workflow)
เก็บข้อมูลการรับชมของผู้ใช้ (Collect user viewing data)
เช่น ประวัติการดูภาพยนตร์หรือซีรีส์ (user–movie interaction logs)
สร้างโปรไฟล์ของผู้ใช้และเนื้อหา (Build user and content profiles)
เช่น การสร้างเวกเตอร์แทนผู้ใช้ (user embeddings) และคุณลักษณะของภาพยนตร์ (movie features)
ฝึกโมเดล (Train models)
เพื่อทำนายความชอบของผู้ใช้ เช่น ความน่าจะเป็นที่จะดูหรือให้คะแนน
สร้างคำแนะนำเฉพาะบุคคล (Generate personalized recommendations)
จัดลำดับรายการที่คาดว่าผู้ใช้จะสนใจมากที่สุด
ทดสอบ A/B (A/B test)
เพื่อประเมินความพึงพอใจและอัตราการมีส่วนร่วมของผู้ใช้
ปรับปรุงโมเดลอย่างต่อเนื่อง (Improve the model)
โดยใช้ข้อมูลใหม่และข้อเสนอแนะจากผู้ใช้เพื่อเพิ่มความแม่นยำของระบบ
How to build a recommendation system
ปัญหา: ควรเปิดร้านใหม่ที่ไหนเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด?
แบบจำลองที่ใช้
การจัดกลุ่มเชิงพื้นที่ (Geospatial Clustering): K‑Means, DBSCAN (หรือ HDBSCAN)
แบบจำลองการถดถอยและการเพิ่มประสิทธิภาพ (Regression / Uplift): Random Forest Regressor, Gradient Boosting (XGBoost/LightGBM), Decision Trees
การพยากรณ์เพิ่มเติม (Forecasting Add‑on): การคาดการณ์ปริมาณผู้เข้าร้านด้วย GBM ที่รวมปัจจัยฤดูกาล
ตัวชี้วัดหลัก (North‑Star Metrics)
คืนทุนใน 12 เดือน (ระยะเวลาคืนทุน)
เศรษฐศาสตร์ต่อหน่วย (Unit Economics): อัตรากำไรขั้นต้น, ค่าแรงต่อยอดขาย, ค่าเช่าร้านต่อยอดขาย ≤ 10–12%
คะแนนทำเล (Site Score) (0–100) ที่รวมปัจจัยด้านความต้องการของตลาด การแข่งขัน และศักยภาพในการเติบโต
ขั้นตอนการทำงาน (Workflow)
เก็บข้อมูล: ทำเลร้านปัจจุบัน ปริมาณผู้คน สถิติยอดขาย และความหนาแน่นของคู่แข่ง
สร้างแผนที่ GIS: พล็อตพิกัดและเชื่อมโยงข้อมูลเชิงพื้นที่
จัดกลุ่มทำเล: เพื่อหาพื้นที่ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับร้านที่ทำกำไรดี
พยากรณ์ยอดขายที่คาดหวัง: สำหรับทำเลใหม่ที่เป็นไปได้
แนะนำพื้นที่ศักยภาพสูง: เพื่อใช้ในการขยายสาขา
ติดตามผลการดำเนินงานจริง: หลังจากเปิดร้านเพื่อปรับปรุงโมเดลในอนาคต
10 Tips that Help You Find Best Location for Business
ปัญหา:
ผู้โดยสารร้องเรียนเกี่ยวกับ การเพิ่มราคาที่ไม่คาดคิด หรือ ราคาที่สูงเกินไปในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูง
อย่างไรก็ตาม หากไม่ปรับราคา คนขับอาจปฏิเสธการรับผู้โดยสาร → ความท้าทายคือการสร้างสมดุลระหว่าง ความพึงพอใจของผู้โดยสาร กับ แรงจูงใจของคนขับ
แบบจำลองที่ใช้ (Models Used):
แบบจำลองการถดถอย (Regression Models): Linear, Ridge, Lasso, Gradient Boosting
การเรียนรู้แบบเสริมกำลัง (Reinforcement Learning): Multi-Armed Bandit, Deep Q-Network (DQN)
การพยากรณ์ความต้องการ (Demand Forecasting): XGBoost, LSTM (สำหรับรูปแบบที่ขึ้นอยู่กับเวลา)
การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Geospatial Analytics): Heatmaps, การจัดกลุ่ม (Clustering)
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science Pipeline):
เก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
ปริมาณคำขอโดยสารตามพื้นที่
ระยะเวลาเดินทาง ความหนาแน่นของการจราจร
พฤติกรรมการยกเลิกและช่วงเวลาที่มีการเพิ่มราคา (Surge Pricing)
ปัจจัยภายนอก: สภาพอากาศ วันหยุด หรือกิจกรรมพิเศษ
วิเคราะห์อุปสงค์และอุปทาน (Demand & Supply Analysis)
ตรวจจับ ช่วงที่ความต้องการพุ่งสูง ด้วย Heatmaps และ Time Series
ระบุพื้นที่ที่มี คนขับไม่เพียงพอ
พยากรณ์ความต้องการในอนาคต
ประยุกต์ใช้อัลกอริทึมการตั้งราคาแบบไดนามิก (Dynamic Pricing Algorithms)
ปรับราคาค่าโดยสารตามอัตราส่วนระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
ใช้ Reinforcement Learning เพื่อค้นหาราคาที่เหมาะสมที่สุด
ทดสอบ A/B Testing
เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มราคาคงที่และราคาปรับตามสภาวะตลาด
ประเมินผลการใช้งาน ระยะเวลารอ และความพึงพอใจของลูกค้า
นำไปใช้จริงและติดตามผล (Deploy & Monitor)
ผลลัพธ์ (Outcomes):
ลดเวลารอของผู้โดยสาร → เพิ่มความพึงพอใจ
รักษาแรงจูงใจของคนขับ → เพิ่มจำนวนการรับงาน
ปรับปรุงการจับคู่ระหว่างผู้โดยสารและคนขับ → ลดอัตราการยกเลิก
เพิ่มรายได้เฉลี่ยของคนขับในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูง
How Does Uber Set Its Prices? Dynamic Pricing Explained
ปัญหา: กระแสแฟชั่นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว → เกิด สินค้าคงคลังที่ขายไม่ออก
แบบจำลองที่ใช้ (Models Used):
การจัดกลุ่ม (Clustering): K-Means, Hierarchical Clustering
การจำแนกประเภท (Classification): Random Forest, Logistic Regression
การพยากรณ์ (Forecasting): Time Series + Machine Learning
ขั้นตอนการทำงาน (Workflow):
วิเคราะห์ข้อมูลยอดขายแยกร้านและสินค้า
จัดกลุ่มร้านค้า (Cluster Stores) ตามพฤติกรรมการขาย
พยากรณ์ความต้องการ (Forecast Demand) ของแต่ละร้านโดยอิงจากพฤติกรรมของลูกค้า
จัดสรรสินค้าคงคลัง (Align Inventory) ให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของแต่ละร้าน
ใช้ Machine Learning เพื่อระบุ สินค้าที่มีความต้องการต่ำ (Low-Demand Items) → ลดการผลิตเกินความจำเป็น
ติดตามผลการขายรายสัปดาห์ และปรับปรุงแบบจำลองตามข้อมูลยอดขายจริง
คุณค่าของกลยุทธ์การปรับสินค้าคงคลังให้เหมาะสม (Inventory Optimization Strategy)
การเข้าใจ ปัญหาทางธุรกิจ คือก้าวแรกของการวิเคราะห์ข้อมูล
จับคู่ปัญหากับ เทคนิคทางวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่เหมาะสม
นำเสนอผลลัพธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง (Actionable Insights)
“ข้อมูลจะมีคุณค่า ก็ต่อเมื่อถูกแปลงให้เกิดการกระทำ”