Data Visualization        
การแสดงภาพข้อมูล

อ.ดร. สมศักดิ์ จันทร์เอม

วิทยาลัยนานาชาตินวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

13 พฤศจิกายน 2568

ความสำคัญของการสร้างภาพข้อมูล

1. มุมมองทางธุรกิจ

การตัดสินใจที่แม่นยำและทันท่วงที (Accurate and Timely Decision-Making)

การสร้างภาพข้อมูลช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจแนวโน้มของตลาด รายได้ กำไร และพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

. . .

การติดตามประสิทธิภาพ (Performance Monitoring)

แดชบอร์ดสามารถใช้แสดงยอดขาย ต้นทุน อัตรากำไร และปัจจัยทางธุรกิจที่สำคัญอื่น ๆ ได้

. . .

การวิเคราะห์ลูกค้า (Customer Analysis)

ใช้วิเคราะห์ข้อมูลประชากร พฤติกรรม และการแบ่งกลุ่มลูกค้า เพื่อพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ

2. มุมมองทางเศรษฐศาสตร์

การพยากรณ์แนวโน้มทางเศรษฐกิจ (Economic Trend Forecasting)

กราฟเส้นและแผนที่ความหนาแน่น (Heat Maps) ช่วยให้เห็นภาพแนวโน้มเศรษฐกิจ เช่น อัตราเงินเฟ้อ การเติบโตของ GDP และอัตราการว่างงาน

. . .

การวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)

หน่วยงานภาครัฐและนักเศรษฐศาสตร์สามารถใช้การสร้างภาพข้อมูล เพื่อออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

. . .

การเปรียบเทียบระหว่างประเทศหรือภูมิภาค (Cross-Country/Regional Comparisons)

สามารถใช้แผนที่และกราฟแท่งในการเปรียบเทียบการเติบโตทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศหรือภูมิภาคต่าง ๆ ได้

3. การเงินและการลงทุน

การติดตามแนวโน้มตลาดหุ้น (Stock Market Trend Monitoring)

กราฟแท่งและกราฟเส้นช่วยให้นักลงทุนเข้าใจพฤติกรรมของตลาดหุ้น ดัชนี และสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ได้ชัดเจน

. . .

การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)

ใช้ Box Plot หรือ Histogram เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยง

. . .

การวิเคราะห์พอร์ตการลงทุน (Portfolio Analysis)

แสดงภาพผลกำไร ขาดทุน และการกระจายสินทรัพย์ภายในพอร์ตการลงทุน

4. ด้านสาธารณสุข

การติดตามโรคและระบาดวิทยา (Disease Monitoring and Epidemiology)

ใช้ Heatmap หรือ Bubble Chart เพื่อติดตามการแพร่ระบาดของโรคและแนวโน้มของจำนวนผู้ป่วย

. . .

การจัดการทรัพยากรทางการแพทย์ (Medical Resource Management)

วิเคราะห์จำนวนเตียงในโรงพยาบาล ปริมาณผู้ป่วย และอัตราการใช้ยาเพื่อการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

. . .

การพัฒนาการรักษา (Treatment Development)

ใช้ Scatter Plot หรือ Violin Plot เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกและงานวิจัย

5. ด้านการศึกษา

การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Analyzing Academic Achievement)

ใช้การสร้างภาพข้อมูลเพื่อติดตามและประเมินผลการเรียนของนักศึกษา

. . .

การพัฒนาระบบการสอนและการเรียนรู้ (Enhancing Teaching and Learning Systems)

วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้เรียนผ่าน Learning Analytics Dashboards เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

. . .

การเปรียบเทียบการศึกษาระดับโลก (Global Education Comparison)

ใช้แผนที่หรือกราฟแท่งเพื่อประเมินคุณภาพการศึกษาระหว่างประเทศต่าง ๆ

6. วิทยาศาสตร์และการวิจัย

การวิเคราะห์ข้อมูลการทดลอง (Experimental Data Analysis)

ใช้ Box Plot หรือ Scatter Plot เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ

. . .

การสร้างภาพลวดลายข้อมูลที่ซับซ้อน (Visualizing Complex Data Patterns)

ใช้เทคนิค PCA (Principal Component Analysis) หรือ Heatmap เพื่อทำความเข้าใจข้อมูลที่มีมิติสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

. . .

การสื่อสารผลการวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพ (Communicating Research Findings Effectively)

กราฟและสื่อภาพช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายผลการศึกษาของตนได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย

ประเภทพื้นฐานของการสร้างภาพข้อมูลที่ควรรู้

การสร้างภาพข้อมูลมีหลายรูปแบบ โดยแต่ละแบบเหมาะกับการวิเคราะห์ประเภทต่าง ๆ หมวดหมู่หลักของการสร้างภาพข้อมูล ที่ทุกคนควรรู้

1. การแสดงแนวโน้มของข้อมูล

ใช้เพื่อสังเกตแนวโน้มของข้อมูลหรือการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา

  • กราฟเส้น: แสดงแนวโน้มของข้อมูลตามเวลา เช่น ยอดขายรายเดือน หรือราคาหุ้น

  • กราฟพื้นที่: คล้ายกับกราฟเส้น แต่เน้นพื้นที่ใต้เส้นโค้งเพื่อแสดงปริมาณสะสม

ตัวอย่างการใช้งาน (Example Use Cases): การติดตามแนวโน้ม GDP, อัตราเงินเฟ้อ หรือจำนวนผู้ใช้บริการ

2. การแสดงการกระจายของข้อมูล

ใช้เพื่อแสดงรูปแบบและการกระจายของข้อมูล

  • ฮิสโตแกรม (Histogram): แสดงการกระจายของค่าตัวแปร เช่น รายได้ของประชากร

  • กราฟกล่อง (Box Plot หรือ Box-and-Whisker Plot): แสดงค่ามัธยฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และค่าผิดปกติ (Outliers)

  • กราฟความหนาแน่น (Density Plot): แสดงการกระจายทางสถิติของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างการใช้งาน: การวิเคราะห์การใช้จ่ายของลูกค้า หรือคะแนนสอบของนักศึกษา

ตัวอย่าง: การเปรียบเทียบรายได้ระหว่างเพศชายและเพศหญิง

Tip

3. การแสดงการเปรียบเทียบข้อมูล

ใช้เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างหมวดหมู่ต่าง ๆ

  • กราฟแท่ง (Bar Chart): ใช้เปรียบเทียบค่าระหว่างหมวดหมู่ เช่น ยอดขายตามประเภทสินค้า

  • กราฟแท่งซ้อน (Stacked Bar Chart): ใช้แสดงส่วนประกอบของข้อมูลรวม เช่น ส่วนแบ่งทางการตลาดของแต่ละบริษัท

  • กราฟแท่งแนวนอน (Horizontal Bar Chart): เหมาะเมื่อชื่อหมวดหมู่ยาว หรือมีหลายรายการให้เปรียบเทียบ

ตัวอย่างการใช้งาน: การเปรียบเทียบรายได้ของบริษัท หรือจำนวนลูกค้าในแต่ละกลุ่ม

ตัวอย่าง: พนักงานสองคน – Chatchai และ Boat

4. การแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูล

ใช้เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัวหรือมากกว่า

  • กราฟกระจาย (Scatter Plot): แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัว เช่น ราคาบ้านเทียบกับขนาดที่ดิน

  • กราฟฟองอากาศ (Bubble Plot): คล้ายกับกราฟกระจาย แต่ใช้ขนาดของจุดเพื่อแสดงค่าของตัวแปรที่สาม

ตัวอย่างการใช้งาน:

การสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยและระดับการลงทุน

5. การแสดงข้อมูลเชิงพื้นที่

ใช้ในการแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแผนที่หรือพิกัดทางภูมิศาสตร์

  • Heat Map (แผนที่ความหนาแน่น): แสดงความหนาแน่นหรือการกระจายของข้อมูลบนแผนที่ เช่น ความหนาแน่นของประชากร

  • Choropleth Map (แผนที่เชิงพื้นที่ตามค่า): แสดงค่าข้อมูลตามพื้นที่ เช่น รายได้เฉลี่ยต่อจังหวัด

  • Bubble Map (แผนที่ฟองอากาศ): ใช้ตำแหน่งและขนาดของฟองเพื่อแสดงค่าของข้อมูลในพื้นที่ต่าง ๆ

ตัวอย่างการใช้งาน: การวิเคราะห์การกระจายยอดขายตามภูมิภาค

6. การแสดงข้อมูลแบบลำดับชั้นและเครือข่าย

ใช้เพื่อแสดงโครงสร้างแบบลำดับชั้นหรือความสัมพันธ์ในเครือข่าย

  • Tree Diagram (แผนภาพต้นไม้): แสดงโครงสร้างลำดับชั้น เช่น sơผังองค์กร (Organizational Chart)

  • Sunburst Chart (แผนภูมิวงกลมแบบซ้อน): เป็นเวอร์ชันแบบวงกลมของ Tree Diagram เหมาะสำหรับข้อมูลแบบซ้อนหลายชั้น

  • Network Graph (กราฟเครือข่าย): แสดงความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยต่าง ๆ เช่น เครือข่ายสังคมออนไลน์

ตัวอย่างการใช้งาน: การวิเคราะห์โครงสร้างองค์กร หรือความสัมพันธ์ในเครือข่ายสังคม

7. การแสดงส่วนประกอบของข้อมูล

ใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่าส่วนต่าง ๆ รวมกันเป็นภาพรวมได้อย่างไร

  • กราฟวงกลม (Pie Chart): ใช้แสดงสัดส่วนของแต่ละหมวดหมู่เมื่อเทียบกับทั้งหมด

  • กราฟโดนัท (Donut Chart): คล้ายกับกราฟวงกลม แต่มีช่องว่างตรงกลางเพื่อเพิ่มความชัดเจนในการแสดงข้อมูล

  • Treemap (แผนผังต้นไม้แบบพื้นที่): ทางเลือกที่ดีกว่ากราฟวงกลมเมื่อต้องแสดงข้อมูลที่มีหลายหมวดหมู่

ตัวอย่างการใช้งาน:

แสดงสัดส่วนของยอดขายรวมแยกตามหมวดหมู่สินค้า

มีรูปแบบของการสร้างภาพข้อมูลหลากหลาย ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลและเป้าหมายการวิเคราะห์

เลือกรูปแบบให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์

  • การกระจายของข้อมูล (Distribution of Data) ➝ Histogram, Box Plot

  • การเปรียบเทียบข้อมูล (Data Comparison) ➝ Bar Chart

  • แนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงตามเวลา (Trends and Changes Over Time) ➝ Line Chart

  • ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร (Variable Relationships) ➝ Scatter Plot

  • การแสดงข้อมูลเชิงพื้นที่ (Geospatial Data Display) ➝ Heat Map, Choropleth

การกระจายของข้อมูล

ฮิสโตแกรม (Histogram)

ฮิสโตแกรม (Histogram) เป็นกราฟแท่งชนิดหนึ่งที่ใช้แสดง การกระจายของข้อมูล (Distribution) แต่ละแท่งแสดง ความถี่ (Frequency) ของข้อมูลที่อยู่ภายในช่วง หรือ “bin” (ช่วงข้อมูล) ที่กำหนดไว้

กราฟนี้ช่วยให้สามารถมองเห็นลักษณะของการกระจายข้อมูล รวมถึงการมีอยู่ของกลุ่ม (Clusters) หรือช่องว่าง (Gaps) ในข้อมูลได้ง่ายขึ้น

ลักษณะสำคัญของฮิสโตแกรม

  • แกน X (X-axis): แสดงช่วงของค่าข้อมูล (bins) ซึ่งแบ่งออกเป็นช่วงย่อย เช่น ช่วงอายุ คะแนนสอบ ขนาดเชิงตัวเลข หรือช่วงเวลา

  • แกน Y (Y-axis): แสดงความถี่ (Frequency) — จำนวนข้อมูลที่อยู่ภายในแต่ละช่วง (bin)

  • แท่งกราฟ (Bars): ความสูงของแต่ละแท่งแสดงจำนวนข้อมูลในช่วงนั้น ๆ แท่งที่สูงกว่าหมายถึงมีข้อมูลอยู่ในช่วงนั้นมากกว่า

ฮิสโตแกรมมักถูกใช้เพื่อวิเคราะห์การกระจายของข้อมูล เช่น:

  • ตรวจสอบการกระจายของคะแนนสอบ

  • วิเคราะห์การกระจายอายุของประชากร

  • สังเกตความถี่ของการเข้าชมของลูกค้าในช่วงเวลาต่าง ๆ

  • สำรวจข้อมูลเชิงตัวเลขในการวิเคราะห์ทางสถิติ

การเปรียบเทียบข้อมูลโดยใช้ฮิสโตแกรม

รายได้ของกลุ่ม A และกลุ่ม B มีการกระจายแบบปกติ (Normally Distributed) ดังนี้:

Group A ~\(N(\mu_1, \sigma_1^2)\)or\(N(\)2)
Group B ~\(N(\mu_2, \sigma_2^2)\)or\(N(\)2) ตามลำดับ

ข้อดีของการใช้ฮิสโตแกรม

  1. มองเห็นการกระจายของข้อมูลได้ชัดเจน: ฮิสโตแกรมช่วยแสดงให้เห็นว่าข้อมูลกระจุกตัวหรือกระจายตัวมากน้อยเพียงใด

  2. ตรวจจับค่าผิดปกติได้ง่าย (Detect Anomalies): ช่วยระบุค่าที่ผิดปกติหรือ outliers ในชุดข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

  3. เปรียบเทียบข้อมูลได้สะดวก (Easy Comparison): สามารถเปรียบเทียบความถี่ของข้อมูลในแต่ละช่วง หรือระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย

การฝึกปฏิบัติ

การสร้างฮิสโตแกรมจากไฟล์ข้อมูล

คุณจะได้สร้างฮิสโตแกรมโดยใช้ไฟล์ Excel: histogram.xlsx

ในแต่ละคอลัมน์จะแทนข้อมูลจากการแจกแจงความน่าจะเป็น (Probability Distribution) แบบต่าง ๆ ดังนี้:

ตัวแปร (Variable) การแจกแจง (Distribution) แหล่งอ้างอิง (Reference Link)
x1 การแจกแจงปกติ (Normal distribution) Wikipedia (TH)
x2 การแจกแจงที (t-distribution) Wikipedia
x3 การแจกแจงเอฟ (F-distribution) Wikipedia
x4 การแจกแจงเบต้า (Beta distribution) Wikipedia
x5 การแจกแจงไคสแควร์ (Chi-squared distribution) Wikipedia
x6 การแจกแจงแกมมา (Gamma distribution) Wikipedia

ขั้นตอนการทำใน Microsoft Excel

  1. เปิดไฟล์ histogram.xlsx

  2. ไปที่แท็บ Insert (แทรก) → เลือก Histogram (ฮิสโตแกรม) จากส่วน Charts

  3. เลือกข้อมูลของแต่ละตัวแปร (x1 ถึง x6)

  4. คลิกขวาที่แกน X → เลือก Format Axis (จัดรูปแบบแกน) → ปรับค่า Bin width (ความกว้างของช่วงข้อมูล) ตามต้องการ

  5. สามารถสร้างกราฟแยกสำหรับแต่ละการแจกแจงได้

ขั้นตอนการทำใน Jamovi

  1. เปิดโปรแกรม Jamovi

  2. ไปที่เมนู Open → This PC → โหลดไฟล์ histogram.xlsx

  3. ไปที่แท็บ Exploration (การสำรวจข้อมูล) → เลือก Descriptives (สถิติเชิงพรรณนา)

  4. ลากตัวแปร x1 ถึง x6 ไปยังช่อง Variables

  5. ในแถบด้านขวา:

    • เปิดใช้งาน Plots → Histogram

    • สามารถเปิด Density เพื่อเปรียบเทียบเส้นความหนาแน่นของข้อมูลได้อย่างราบรื่นมากขึ้น

  6. คลิก “OK” เพื่อสร้างกราฟฮิสโตแกรมของแต่ละการแจกแจง

เคล็ดลับในการตีความผล

  • x1 (การแจกแจงปกติ — Normal): มีลักษณะเป็นรูประฆัง (bell-shaped) และสมมาตร

  • x2 (การแจกแจงที — t-distribution): คล้ายกับการแจกแจงปกติแต่มีหางยาวกว่า (heavier tails)

  • x3 และ x5 (การแจกแจง F และไคสแควร์ — F และ Chi-squared): มักมีลักษณะเบ้ไปทางขวา (right-skewed)

  • x4 (การแจกแจงเบต้า — Beta) และ x6 (การแจกแจงแกมมา — Gamma): รูปร่างขึ้นอยู่กับค่าพารามิเตอร์ โดยทั่วไปมักมีการเบ้ของข้อมูล

Game Guess the Distribution

หมายเหตุ: สำหรับชื่อและคุณสมบัติของการแจกแจงความน่าจะเป็น (Probability Distributions) คุณสามารถค้นหาได้จาก Google หรือศึกษาเพิ่มเติมจากตำราสถิติทั่วไป

การเปรียบเทียบข้อมูล

กราฟแท่ง (Bar Chart)

กราฟแท่ง (Bar Chart)

กราฟแท่งใช้แท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้าในการแสดงข้อมูลเชิงปริมาณ โดยทั่วไป แกน X จะแสดง หมวดหมู่หรือกลุ่มข้อมูล ส่วนแกน Y จะแสดง ค่าตัวเลข เช่น ความถี่ ปริมาณ หรือร้อยละ

ลักษณะสำคัญของกราฟแท่ง (Key Features of a Bar Chart)

  • ใช้สำหรับเปรียบเทียบค่าระหว่างหมวดหมู่ต่าง ๆ

  • สามารถแสดงในรูปแบบ แนวตั้ง (Vertical) หรือ แนวนอน (Horizontal)

  • เหมาะสำหรับเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างกลุ่ม เช่น ยอดขายรายเดือน หรือ จำนวนลูกค้าแยกตามสาขา

1. กราฟแท่งมาตรฐาน (Grouped Bar Chart)

Grouped Bar Chart → ใช้สำหรับเปรียบเทียบค่าของข้อมูลระหว่างหลายกลุ่ม โดยแสดงแท่งของแต่ละกลุ่มเรียง เคียงกัน (side-by-side) เพื่อให้เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

2.1 กราฟแท่งซ้อน (Stacked Bar Chart)

Stacked Bar Chart → ใช้สำหรับแสดง องค์ประกอบหรือสัดส่วนของแต่ละกลุ่ม โดยซ้อนข้อมูลของแต่ละหมวดหมู่ไว้บนกันในแท่งเดียว เพื่อให้เห็นภาพรวมและสัดส่วนภายในแต่ละกลุ่มได้อย่างชัดเจน

2.2 กราฟแท่งซ้อนแบบสัดส่วน (Proportional Stacked Bar Chart)

ใช้สำหรับแสดง สัดส่วนของแต่ละหมวดหมู่ภายในกลุ่ม โดยทำให้สามารถเปรียบเทียบ โครงสร้างโดยรวมของแต่ละกลุ่ม ได้ง่ายขึ้น แม้ว่าค่ารวมของแต่ละกลุ่มจะแตกต่างกันก็ตาม

3. กราฟแท่งแนวนอน (Horizontal Bar Chart)

Horizontal Bar Chart → เหมาะสำหรับกรณีที่ชื่อหมวดหมู่มีความยาว หรือเมื่อการจัดวางในแนวนอนช่วยให้ อ่านและเปรียบเทียบข้อมูลได้ง่ายขึ้น

ข้อมูลตัวอย่างสำหรับการสร้างกราฟแท่งประเภทต่าง ๆ ใน Excel

คุณสามารถคัดลอกข้อมูลจากสไลด์นี้แล้ววางใน Excel เพื่อสร้างกราฟแท่งทั้ง 4 ประเภทได้

ข้อมูลในรูปแบบ ตาราง (Table-format data) ไม่สามารถนำไปสร้างกราฟแท่งใน Excel ได้โดยตรง

category group value
A X 10
A Y 15
B X 20
B Y 25
C X 30
C Y 35




\[\rightarrow\]

คุณต้องทำการ ปรับโครงสร้างข้อมูล (Restructure the Data) ให้อยู่ในรูปแบบด้านล่างนี้ก่อน จึงจะสามารถสร้างกราฟแท่งใน Excel ได้

X Y
A 10 15
B 20 25
C 30 35

แนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล

กราฟเส้น (Line Chart)

Line Chart กราฟเส้นใช้สำหรับแสดง แนวโน้ม (Trends) หรือ การเปลี่ยนแปลงของข้อมูลตามเวลา (Changes Over Time)

Data Table (Copy and Paste into Excel):

year group value
2000 A 5
2000 B 7
2001 A 8
2001 B 12
2002 A 15
2002 B 18
2003 A 20
2003 B 25
2004 A 28
2004 B 30
2005 A 35
2005 B 40

\[\rightarrow\]

อย่างไรก็ตาม คุณ ไม่สามารถสร้างกราฟเส้นที่ถูกต้องได้ จนกว่าจะได้ทำการ ปรับโครงสร้างข้อมูล (Restructure the Data) ให้อยู่ในรูปแบบดังนี้:

year A B
2000 5 7
2001 8 12
2002 15 18
2003 20 25
2004 28 30
2005 35 40

กราฟทางการเงิน

ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร

กราฟกระจาย (Scatter Plot)

Scatter Plot คือกราฟที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัว คือ X และ Y โดยแต่ละจุดบนกราฟแทนค่าของข้อมูลหนึ่งคู่ (x, y) เพื่อช่วยให้มองเห็นรูปแบบ แนวโน้ม หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งสองได้อย่างชัดเจน

เปลี่ยนเป็นสเกลลอการิทึมเพื่อให้อ่านค่าได้ง่ายขึ้น

การใช้สเกลแบบลอการิทึม (Logarithmic Axis) ช่วยให้มองเห็นรูปแบบของข้อมูลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลมีค่าครอบคลุมหลายระดับขนาด (หลายลำดับของขนาด) เช่น ในกรณีที่ข้อมูลมีการเบ้ (Skewed Distributions) หรือมีการเติบโตแบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (Exponential Growth)

Download data from google drive

กราฟฟองอากาศ (Bubble Plot)

Bubble Plot เป็นการขยายรูปแบบของกราฟกระจาย (Scatter Plot) โดยใช้ ขนาดของฟอง (Bubble Size) เพื่อแทนค่าของตัวแปรเพิ่มเติมอีกตัวหนึ่ง

กราฟนี้ช่วยให้สามารถแสดงข้อมูลใน สามมิติ (Three Dimensions) ได้แก่ แกน X, แกน Y และขนาดของฟอง หรือในบางกรณีอาจเพิ่มมิติอื่น เช่น สี เพื่อแสดงตัวแปรที่สี่ได้ด้วย

องค์ประกอบของกราฟฟองอากาศ

  • แกน X: ตัวแปรเชิงปริมาณ (Quantitative Variable)

  • แกน Y: ตัวแปรเชิงปริมาณ (Quantitative Variable)

  • ขนาดของฟอง (Bubble Size): แสดงค่าของตัวแปรที่สาม เช่น ประชากรหรือยอดขาย

  • สีของฟอง (Bubble Color – ตัวเลือกเพิ่มเติม): ใช้แสดงหมวดหมู่หรือกลุ่ม เช่น ประเทศ หรือประเภทสินค้า

ตัวอย่างการใช้งานของกราฟฟองอากาศ

  • เศรษฐศาสตร์ (Economics): แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง GDP (แกน X) กับอัตราการว่างงาน (แกน Y) โดยให้ขนาดของฟองแทนจำนวนประชากร

  • ธุรกิจ (Business): แสดงยอดขาย (แกน X) เทียบกับกำไร (แกน Y) โดยให้ขนาดของฟองแทนจำนวนลูกค้า

  • สาธารณสุข (Public Health): แสดงอายุคาดเฉลี่ยของประชากร (Life Expectancy, แกน X) เทียบกับรายได้เฉลี่ย (Average Income, แกน Y) โดยให้ขนาดของฟองแทนจำนวนประชากร

ตัวอย่าง Bubble Plot

References

  1. Cairo, A. (2016). The truthful art: Data, charts, and maps for communication. New Riders.

  2. Few, S. (2009). Now you see it: Simple visualization techniques for quantitative analysis. Analytics Press.

  3. Knaflic, C. N. (2015). Storytelling with data: A data visualization guide for business professionals. Wiley.

  4. Tufte, E. R. (2001). The visual display of quantitative information (2nd ed.). Graphics Press.

  5. Wickham, H. (2016). ggplot2: Elegant graphics for data analysis (2nd ed.). Springer.

  6. Wilke, C. O. (2019). Fundamentals of data visualization: A primer on making informative and compelling figures. O’Reilly Media.

Interactive Visualize