ระบบการศึกษาของไทยมีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น 4 สมัย คือ
-
สมัยสุโขทัยจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
- สมัยรัชกาลที่ 5
จนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
- สมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. 2475 จนถึง พ.ศ. 2534
-
สมัยปัจจุบันตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535
1. สมัยสุโขทัยจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ลักษณะของระบบการศึกษาในช่วงนี้ยังไม่เป็นแบบแผนชัดเจน
ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาสำหรับเด็กชาย
ซึ่งเป็นการศึกษาหาความรู้ด้านวิชาการและศิลปะ
สถานที่การศึกษามักเป็นที่วัด ราชสำนัก และบ้านเจ้านายชั้นสูง
การศึกษาด้านวิชาชีพจะมีสอนและถ่ายทอดภายในวงศ์ตระกูล และในหมู่เครือญาติ
ส่วนเด็กหญิงจะมีการฝึกงานบ้านในครอบครัว ราชสำนัก และบ้านเจ้านายชั้นสูง
ประชาชนนิยมนำบุตรหลานไปไว้กับเจ้านายและผู้มีศักดินาสูงเพื่อให้ใช้สอย
และฝึกงานเพื่อคาดหมายว่าจะได้มีโอกาสเข้ารับราชการ
ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ต่อไป
อย่างไรก็ดี
ประเทศตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทในการศึกษาไทยในสมัยอยุธยา
โดยเฉพาะประเทศโปรตุเกสเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและต่อจากนั้นก็มีประเทศอื่นๆ
ติดตามมา
2.
สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
ลักษณะการศึกษาในช่วงนี้เริ่มเป็นระบบแบบแผน
แต่ยังไม่เป็นมาตรฐานนัก นับเป็นช่วงที่การศึกษาเจริญรุ่งเรืองมาก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาในฐานะที่เป็นรากฐานของความสำเร็จในทุกด้าน
ผู้ได้รับการศึกษาในวิชาการสมัยใหม่จะสามารถนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาบ้านเมือง
ดังนั้น จึงทรงส่งเสริมให้จัดการศึกษาแบบตะวันตก
คณะสอนศาสนาชาวอเมริกันมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของไทยเป็นอย่างมาก
เริ่มมีการตั้งโรงเรียนเพื่อฝึกคนเข้ารับราชการ
มีการจัดตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรทั่วไป สถาปนามหาวิทยาลัยแห่งแรกขึ้น คือ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในช่วงนี้มีโครงการศึกษาและแผนการศึกษาขึ้นหลายฉบับ อย่างไรก็ดี
ในแต่ละฉบับมิได้ระบุจุดมุ่งหมายไว้อย่างชัดเจน
นอกจากนั้นยังมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2464
เพื่อให้ประชาชนเข้ารับการศึกษาโดยถ้วนหน้า
3. สมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึง พ.ศ. 2534
ในช่วงนี้การศึกษาของไทยมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด
มีแผนการศึกษาชาติและแผนการศึกษาแห่งชาติเกิดขึ้นหลายฉบับจนถึงแผนการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2520
ในแต่ละแผนมีความสำคัญต่อการพัฒนาการศึกษาในแต่ละยุคแต่ละสมัยโดยทุกแผนระบุจุดมุ่งหมายของการศึกษาเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ชัดเจน
และเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ลักษณะของการศึกษาค่อนข้างเอนเอียงไปตามแนวคิดด้านการศึกษาของอเมริกา
โดยปรากฏชัดเจนในแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 เหตุการณ์ในเดือนตุลาคม
พ.ศ. 2516 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดด้านการศึกษามาก
โดยมุ่งเน้นการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือพัฒนาคนในการออกไปรับใช้สังคม
และประเทศชาติ ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปการศึกษา พ.ศ. 2517
ซึ่งเน้นการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม
ข้อสังเกตของระบบการศึกษาในช่วงนี้ก็คือ
ส่วนใหญ่เน้นการศึกษาในระบบโรงเรียน
เมื่อมีประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2520
การศึกษาจะเน้นหนักให้เป็นการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม
เป็นกระบวนการต่อเนื่องกันตลอดชีวิต
มุ่งพัฒนาคุณภาพพลเมืองให้สามารถดำรงชีวิต ทำประโยชน์แก่สังคม
แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับนี้แบ่งระบบการศึกษาเป็น 2
ระบบชัดเจน คือ
- การศึกษาในระบบโรงเรียน และ
- การศึกษานอกโรงเรียน
การศึกษาในระบบโรงเรียนมี 4 ระดับ คือ ก่อนประถมศึกษา
ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา โดยการจัดการมีลักษณะและประเภทต่างๆ
เพื่อให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษา
4. สมัยปัจจุบันตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535
แผนการศึกษา พ.ศ. 2535 ที่ใช้อยู่ปัจจุบัน
มีลักษณะที่ปรากฏหลายประการได้แก่
1) กำหนดหลักการ ที่สำคัญ 4 หลักการ
-
หลักการสร้างความเจริญงอกงามและหลักความสมดุลระหว่างความเจริญทางจิตใจกับทางวัตถุและเศรษฐกิจ
-
หลักการกลมกลืนและเกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
-
หลักการความก้าวทันกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการสมัยใหม่
ซึ่งควบคู่ไปกับคุณค่าทางภูมิปัญญา ภาษา
และวัฒนธรรมดั้งเดิมของท้องถิ่นและสังคมไทย
-
หลักความสมดุลระหว่างการพึงพาอาศัยกันกับการพึ่งพาตนเอง
2) กำหนดจุดมุ่งหมาย ที่ครอบคลุมทั้งด้านปัญญา
ด้านจิตใจ
ด้านร่างกายและด้านสังคม
3) วางระบบการศึกษา
ซึ่งให้บุคคลได้ศึกษาและเรียนรู้ต่อเนื่องไปตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาตนเองทั้ง
4 ด้านอย่างสมดุล
และสามารถสร้างเสริมความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กล่าวคือ
-
เปิดโอกาสให้บุคคลเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองได้เหมาะสมกับวัย
-
แบ่งการศึกษาออกเป็น 4 ระดับ คือ ระดับก่อนประถมศึกษา ระดับประถมศึกษา
ระดับมัธยมศึกษา (มี 2 ตอน คือ ตอนต้นและตอนปลาย) และระดับอุดมศึกษา
-
จัดการศึกษาประเภทต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม
และตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ชุมชน และประเทศ ได้แก่ การฝึกหัดครู
การศึกษาวิชาชีพ การศึกษาวิชาชีพพิเศษ
การศึกษาวิชาชีพเฉพาะกิจหรือเฉพาะบุคคลบางกลุ่ม การศึกษาพิเศษ
และการศึกษาของภิกษุ สามเณร นักบวช และบุคลากรทางศาสนา
4) กำหนดแนวนโยบายการศึกษา ไว้ 19
ประการเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจน เช่น
-
ให้การศึกษาระดับมัธยมศึกษาเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานของปวงชน
-
ปฏิรูปการฝึกหัดครู และการพัฒนาครูประจำการ
-
ส่งเสริมให้มีการศึกษาภาษาต่างประเทศที่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างกว้างขวาง
ที่มา : https://www.gotoknow.org/posts/174101
http://www.thaihealth.or.th/
http://www.moe.go.th/main2/his_edu.htm
http://www.sppk.ac.th
http://www.manager.co.th/